4 ประเภทการจัดฟัน แบบไหนเหมาะกับคุณ
จัดฟันเป็นการรักษาทางทันตกรรมรูปแบบหนึ่งที่เข้ามาแก้ไขปัญหาความผิดปกติของฟัน เช่น ฟันซ้อนเก ฟันซับซ้อน ฟันห่าง ฟันยื่น ฟันเหยิน และแก้ไขความผิดปกติของคู่สบฟันกับกระดูกขากรรไกร เช่น กระดูกขากรรไกรยื่น คู่สบฟันล่างลึกกว่าฟันบน เป็นต้น จนเกิดปัญหาในการใช้ชีวิตทำให้มีความไม่มั่นใจไม่กล้ายิ้ม เสียบุคลิกภาพ
ในปัจจุบัน การจัดฟันเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากเป็นตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาทำให้ฟันเรียงตัวสวย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารให้ดีขึ้น ช่วยลดปัญหาฟันผุหรือโรคเหงือกอักเสบอันเนื่องมาจากความผิดปกติของการเรียงตัวของฟัน นอกจากนี้ การจัดฟันยังสามารถสร้างเสริมบุคลิกภาพให้ดูดี ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าได้ในบางกรณีอีกด้วย
การจัดฟัน โดยทั่วไปแบ่งเป็น 4 ประเภท
1. จัดฟันแบบโลหะ Bracket Brace
การจัดฟันแบบโลหะค่อนข้างได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สามารถเข้าถึงได้มากกว่าการจัดฟันชนิดอื่น และการจัดฟันแบบนี้จะมีสีสันที่สวยงามของยางที่ยึดติดกับ Bracket บริเวณผิวด้านหน้าของผิวเคลือบฟัน โดยจะมียาง (O-ring) อยู่บริเวณ Bracket ของชิ้นงานจัดฟันจะมีลวดลอดผ่านเพื่อจัดเรียงฟันเข้าด้วยกัน โดยการจัดฟันแบบโลหะจำเป็นต้องเปลี่ยนยางทุก ๆ เดือน เพื่อให้ฟันเคลื่อนที่ในทิศทางที่ทันตแพทย์กำหนด เหมาะกับเคสที่ฟันล้มเนื่องจากเป็นการดึงฟันด้วยลวดทำให้มีประสิทธิภาพในการจัดเรียงฟันให้เข้าที่มากกว่าการจัดฟันในแบบอื่น
ข้อดีของของการจัดฟันแบบโลหะ
- ช่วยแก้ไขปัญหาฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันเหยิน ให้เรียงตัวได้สวยงามมากขึ้น
- แก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากคู่สบฟันไม่สมดุล
- มีสีสันจากยาง (O-ring) ที่สวยงาม
- ราคาเข้าถึงได้มากกว่าการจัดฟันแบบอื่น
- การจัดฟันมีโอกาสที่จะปรับโครงหน้าให้เปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับปัญหาของเคสนั้น ๆ
- เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
2. จัดฟันแบบเซรามิก Ceramic Brace
การจัดฟันแบบเซรามิกเป็นการแก้ไขปัญหาสำหรับคนที่อยากจัดฟันแบบโลหะแต่ไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นความเด่นของลวดจัดฟันหรือสียางจัดฟัน การจัดฟันแบบนี้เน้นให้ความเป็นธรรมชาติของฟัน เพราะชิ้นถูกออกแบบมาโดยมีลักษณะใส โดยจะใช้ยาง (O-ring) สีใส ทำให้มองเห็นได้ยาก ซึ่งต่างจากสียางของการจัดฟันแบบโลหะที่จะเน้นความสวยงานสีสันของยางจัดฟัน
อย่างไรก็ตาม การจัดฟันแบบเซรามิกนั้นเป็นการจัดที่ค่อนข้างคลายคลึงกับแบบโลหะ ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้ฟันเรียงตัวได้สวยงามและปรับโครงหน้า และการแก้ไขปัญหาคู่สบฟันในเข้าที่มากขึ้น ซึ่งการจัดฟันแบบเซรามิกกับแบบโลหะแตกต่างกันที่วัสดุและสีสันของชิ้นงาน Bracket และยางจัดฟัน (O-ring)
ข้อดีของการจัดฟันแบบเซรามิก Ceramic Brace
- มีสีใสที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากกว่าแบบโลหะ
- มีน้ำหนักเบา ยึดเกาะกับฟันได้ค่อนข้างดี
- เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการให้อุปกรณ์จัดฟันเป็นที่สังเกตเด่นชัดจนเกินไป
- ราคาสามารถเข้าถึงง่ายกว่าจัดฟันใส
- ทำให้เกิดบาดแผลได้น้อยกว่าการจัดฟันแบบโลหะ
- ทำความสะอาดได้ง่ายกว่าแบบโลหะ
3. จัดฟันแบบดามอน Damon
การจัดฟันแบบดามอน เป็นการจัดฟันด้วยวัสดุถูกออกแบบมาให้ใส่สบายมากขึ้น ไม่ใช้ยาง
(O-ring) เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาเข้าพบทันตแพทย์ทุกเดือน หรืออยู่ต่างจังหวัดไม่สะดวกเดินทางมาพบทันแพทย์เพื่อเปลี่ยนยางบ่อย ๆ
การจัดฟันแบบดามอนจะเป็นลักษณะแบบบานล็อกเปิดและปิด ทำให้การจัดฟันเป็นไปแบบลื่นไหล เพราะไม่มีแรงกดจากยางที่รัดฟันเหมือนการจัดฟันแบบโลหะที่จะเคลื่อนที่ได้น้อยกว่าแบบดามอน อีกทั้งการจัดฟันแบบดามอนยังให้ความรู้สึกที่ใส่สบาย ดูแลรักษาทำความสะอาดได้ง่าย ลดการเกิดบาดแผลในช่องปากได้โดยจะช่วยแก้ไขปัญหาในเคสที่มีความซับซ้อนสูงได้
การจัดฟันแบบดามอนมี 2 รูปแบบ ได้แก่
1. Damon Q
มีลักษณะเหมือนการจัดฟันที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาให้ฟันเรียงตัวสวย เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการยิ้มหรือพูดคุย โดยการจัดฟันแบบดามอนจะใช่วัสดุสีเหมือนโลหะคล้ายคลึงกับการจัดฟันแบบโลหะ แต่จะแตกต่างกันที่ยาง (O-ring) ซึ่งการจัดฟันแบบดามอนจะไม่มียางเหมือนการจัดฟันโลหะนั้นเอง การจัดฟันแบบดามอน คิว จะสามารถสังเกตเห็นได้เวลารับประทานอาหาร พูดคุยหรือยิ้ม
2. Damon Clear
ลักษณะสีของแบร็คเก็ตนั้นเป็นแบบสีใสสามารถมองได้ยาก หากมองผ่าน ๆ จะเห็นเพียงลวดที่ร้อยผ่านผิวเคลือบฟันเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเท่าดามอน คิว เหมาะกับคนที่ไม่อยากให้ใครสังเกตเครื่องมือจัดฟัน และต้องการจัดฟันที่เน้นความสุภาพ ไม่มีสีสันที่โดดเด่นจนเกินไป โดยการจัดฟันแบบ Damon Clear นั้นสามารถเคลื่อนฟันให้ไปในตำแหน่งที่ต้องการได้โดยไม่ต้องใช้ยาง (O-ring) ซึ่งจะสามารถดูแลรักษาความสะอาดง่ายกว่าแบบโลหะอีกด้วย
ข้อดีของการจัดฟันแบบ Damon Q , Damon Clear
- มีความสวยงามเข้ากับสีฟันได้เป็นธรรมชาติ
- เจ็บปวดน้อยกว่าการจัดฟันแบบโลหะ
- ดูแลรักษาความสะอาดง่าย
- พบทันตแพทย์น้อยลง
- ในบางกรณีสามารถจัดฟันได้โดยไม่ต้องถอนฟัน
4. จัดฟันแบบใส Invisalign
ในปัจจุบันเทคโนโลยีการจัดฟันใสกำลังได้รับความนิยมในหมู่ศิลปินดารา เนื่องจากเป็นเครื่องมือการจัดฟันที่สะดวกสบาย สามารถลบข้อจำกัดของการจัดฟันแบบอื่นที่มีแบร็คเก็ตเเละลวดจัดฟัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดแผลที่เหงือกหรือกระพุ้งแก้ม โดยการจัดฟันใสเป็นนวัตกรรมที่ถูกออกเเบบขึ้นจากพลาสติกใสคุณภาพดีมีผิวสัมผัสที่เรียบตามลักษณะฟันของผู้ใช้งาน หากไม่สังเกตดี ๆ จะมองเห็นได้ค่อนข้างยาก ซึ่งวัสดุชิ้นงานจัดฟันนี้จะถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคลเท่านั้น โดยจะใส่ชิ้นงานประมาณ 20 – 22 ชั่วโ มง/วัน และถอดเฉพาะตอนรับประทานอาหารหรือแปรงฟัน โดยมีระยะเวลาการใส่ชิ้นงานประมาณ 1-2 สัปดาห์/ชิ้น จากนั้นต้องเปลี่ยนชิ้นงานจัดฟันใส เพื่อให้ฟันมีการพัฒนาตามแผนงานที่วางไว้
การจัดฟันใสทำให้รับประทานอาหารได้เป็นปกติ และยังสามารถทำความสะอาดฟันได้โดยไม่มีเหล็กและลวดมากวนใจ อีกทั้งยังลดเวลาในการมาพบทันตแพทย์ เช่น จากเดิมที่ต้องมาปรับเครื่องมือทุกเดือน อาจเปลี่ยนเป็น 2 -3 เดือน/ครั้ง
ข้อดีของการจัดฟันใส
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันห่าง มีช่องว่างระหว่างฟัน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันสบกันแบบไขว้ กรามบนและล่างไม่สบกัน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันสบลึก ฟันบนยื่น
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีขากรรไกรล่างยื่น ฟันล่างยื่น
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันซ้อนเก ไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับฟัน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันสบเปิด มีช่องว่างตามแนวระหว่างฟันหน้า
- สามารถเห็นการขยับของฟันตั้งแต่ก่อนจัดถึงหลังการจัดฟัน ด้วยระบบ 3D
- สามารถรับประทานอาหารได้อย่างไม่ต้องกังวล
- สามารถสังเกตได้ยาก
ขั้นตอนในการจัดฟันใส
- พบและปรึกษาทันตแพทย์พร้อมวางแผนแนวทางการรักษา การเข้ารับการรักษาในช่วงแรกแนะนำให้คนไข้ทำความสะอาดสุขภาพช่องปาก ขูดหินปูน อุดฟันที่ผุ จากนั้นทำการ X-ray เพื่อดูโครงสร้างฟันและกระดูกขากรรไกร หลังจากนั้นพิมพ์ฟันเพื่อเก็บเป็นเเบบก่อนเริ่มเข้ารับการรักษาใส่เครื่องมือจัดฟันใส
- ทันตแพทย์จะนัดคนไข้มาสแกนฟันและฟังเเผนการรักษา โดยใช้โมเดลสามมิติจากเครื่องสแกนฟัน ซึ่งจะสแกนจากช่องปากโดยตรงเเทนการพิมพ์ช่องปาก จากนั้นทันตแพทย์จะแสดงโครงสร้างฟันของคนไข้ ในช่วงก่อน ก่อนจัดฟัน ระหว่างในช่วงว่างจัดฟัน และหลังจากจัดฟันเสร็จ เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนเเปลงตลอดของทุกชิ้นงาน Invisalign ที่ใส่ไปทั้งหมด
- ทันตแพทย์จะนัดคนไข้มาอีกครั้งเพื่อรับชิ้นงานจัดฟันใส Invisalign ชิ้นเเรก และอธิบายข้อควรปฏิบัติ วิธีการใส่ชิ้นงานจัดฟันอย่างถูกวิธีเพื่อให้เป็นไปตามเเผนการรักษาที่วางเอาไว้ โดยในช่วงเริ่มจัดระยะแรกทันตแพทย์จะให้ชิ้นงานจัดฟันใสกลับไปใส่ตามลำดับที่วางเอาไว้ โดยจะใส่ชิ้นงานประมาณ 20 – 22 ชั่วโมงต่อวัน ถอดเฉพาะตอนรับประทานอาหารและตอนแปรงฟัน จากนั้นกลับมาตรวจเช็คการเปลี่ยนเเปลงทุก ๆ 1 – 2 เดือนต่อครั้ง
การจัดฟันร่วมกับการผ่าตัดขากรรไกร
การผ่าตัดขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรบ้าง ?
สำหรับคนที่ประสบปัญหา ปากอูม, คางยื่น, หน้าเบี้ยว, ยิ้มเห็นเหงือกเยอะ, ฟันล่างคร่อมฟันบน เนื่องจากมีความผิดปกติของกระดูกขากรรไกร ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ไม่กล้ายิ้ม,บุคลิกภาพเสีย,ไม่มีความมั่นใจ อีกทั้งยังส่งผลกระทบในการบดเคี้ยวอาหาร เช่น ไม่สามารถกัดเส้นก๋วยเตี๋ยวให้ขาดได้เนื่องจากฟันไม่สบกัน และอาจส่งผลให้มีอาการเมื่อยเกร็งกล้ามเนื้อในช่องปาก
ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หากจัดฟันเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ไขได้ จึงจำเป็นต้องการผ่าตัดกระดูกขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน ซึ่งการผ่าตัดกระดูกขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน สามารถทำได้ 2 วิธีการคือ
- จัดฟันก่อนผ่าตัดกระดูกขากรรไกร
- ผ่าตัดกระดูกขากรรไกรและจัดฟันในภายหลัง
ซึ่งการผ่าตัดกระดูกขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความผิดของกระดูกขากรรไกรให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ช่วยปรับให้โครงหน้ามีความสมดุลทั้งบนและล่าง รวมทั้งยังส่งผลต่อการพูดออกเสียงทำได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และช่วยปรับคู่สบฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อการบดเคี้ยวอาหารที่ดีขึ้น อีกทั้ง ยังช่วยให้ฟันเรียงฟันสวยอีกด้วย
หากในกรณีที่คนไข้จะทำการผ่าตัดกระดูกขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน จะทำได้ในช่วงอายุที่คนไข้หยุดการเจริญเติบโตแล้ว ทั้งนี้การผ่าตัดกระดูกขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน ต้องใช้ความชำนาญของทันตแพทย์เฉพาะทางหลายสาขา ให้การรักษาดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้
Chat with us